พัฒนาการเด็ก: การเลี้ยงดูและพฤติกรรมเด็กวัย 2-3 ขวบ คู่มือเลี้ยงลูก หนังสือเสริมพัฒนาการ ของเล่นเสริมพัฒนาการ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารเด็ก เด็กสองภาษา ดนตรีเพื่อลูกรัก นิสัยการนอน ฟันน้ำนมซี่แรก ภาษาลูกน้อย หน้าที่ของบิดามารดา เลี้ยงลูกให้ฉลาด เสริมสร้างความภูมิใจให้ลูก คู่มือเลี้ยงเด็ก



พัฒนาการเด็ก
ยินดีต้อนรับสู่ แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับลูกน้อย
พัฒนาการลูกรัก ♥ ช้าไม่ได้ อ่านเลยนะคะ
ถ้าเห็นว่าเว็บไซต์นี้ดีมีประโยชน์ โปรดช่วยบอกต่อ

การเลี้ยงดูและพฤติกรรมเด็กวัย 2-3 ขวบ



เมื่อเด็กอายุ 2-3 ขวบจะสามารถทำอะไรได้ด้วยตนเอง ได้หลายอย่างแล้ว เลิกใช้ผ้าอ้อม และกินข้าวได้เอง จดจำคำพูดได้มากจนกระทั่งคุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง และเป็นตัวของตัวเอง

เมื่อคนเราเริ่มเป็นตัวของตัวเอง ย่อมมีความต้องการอยู่กับพวกพ้อง เด็กจึงอยากเล่นกับเพื่อน แต่เมื่อให้เล่นกับเพื่อนจริงๆ เด็กวัยนี้ยังเล่นไม่ค่อยได้ เดี๋ยวเดียวก็ทะเลาะกัน

เด็กรู้จักพึ่งตนเองบ้างแล้ว แต่ยังไม่รู้จักการร่วมมือกับคนอื่น และถ้าขาดความร่วมมือก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้

ในสังคมเมือง การอบอรมเด็กวัย2-3ขวบนี้ มีปัญหาอยู่ที่การหัดให้เด็กรู้จัก ร่วมมือปรองดองกับคนอื่น ครอบครัวสามารถสอนให้เด็ก รู้จักพึ่งคนเองได้
แต่เด็กไม่ค่อยยอมร่วมมือ แม้แต่พ่อกับแม่ เรามักเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า”วัยต่อต้าน”

วัยต่อต้านนี้ มิได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน แต่มักจะเกิดขึ้นกับเด็กที่ถูกเลี้ยง อยู่แต่ในครอบครัว เด็กที่ถูกเลี้ยงรวมหมู่ ในสถานเลี้ยงเด็กจะไม่มี”วัยต่อต้าน”

และเมื่อถึงวัย 2-3 ขวบนี้ เด็กที่อยู่รวมหมู่ จะเริ่มรู้จักเล่นกับเพื่อน ด้วยความสามารถสามัคคีปรองดองกัน

การที่เด็กมี”วัยต่อต้าน”นั้น เป็นเพราะถูกเลี้ยงดูแต่เฉพาะในครอบครัว ซึ่งไม่สามารถสอนให้เด็ก รู้จักความร่วมมือกับคนอื่น เด็กจึงเกิดอาการ”ต่อต้าน”

เด็กสมัยก่อนและเด็กในชนบท ซึ่งเติบโตขึ้นมาในครอบครัวนั้น มีโอกาสเรียนรู้ เรื่องความร่วมมือเมื่อเริ่มพึ่งตนเองได้ เพราะเด็กสามารถ ออกไปเล่นนอกบ้านได้อย่างอิสระ ร่วมกับเด็กคนอื่นๆ โดยไม่ต้องกลัวอันตรายจากรถหรือโจรผู้ร้าย

เด็กสมัยก่อนรวมกลุ่มเล่นกันมากๆ มีตั้งแต่เด็กโตจนถึงเด็กรุ่นจิ๋ว เด็กโตยอมให้เด็กเล็กเล่นด้วย เพราะเล่นหลายๆคนสนุกดี ดังนั้นเด็กเล็กๆจึงเรียนรู้เรื่องการ ร่วมมือรอมชอมกันไปตามธรรมชาติ เพราะรู้ว่าถ้าเอาแต่ใจตนเอง
แล้วตัวก็จะเข้าร่วมวงเล่นกับคนอื่นไม่ได้

แต่เด็กในเมืองสมัยนี้ ถูกห้ามให้ออกนอกบ้าน เนื่องจากมีภยันตรายนานัปการ และถึงออกไปได้ ก็ไม่มีสนามกว้างให้เด็กได้เล่นร่วมกันเป็น
โดยไม่มีผู้ใหญ่ควบคุม

เด็กสมัยก่อนมีโอกาสเช่นนี้ แม้การอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวจะเข้มงวด แต่เด็กก็ยังมีช่องสำหรับระบาย

เด็กสมัยนี้ที่ขลุกอยู่แต่ในบ้าน อาศัยโทรทัศน์เป็นเพื่อน และไม่ค่อยได้พูดเล่นหัวกับเพื่อน มักจะพูดช้า บางคนอายุเกือบ3ขวบ แล้วพูดได้เพียงแค่คำว่า พ่อ..แม่..หม่ำ เท่านั้น ทำให้พ่อแม่เกิดความกลัวว่า ลูกของตนจะสติปัญญาด้อยกว่าเด็กคนอื่น

แต่ถ้าหูของเด็กฟังเสียงได้ยิน (เมื่อเรียกชื่อจากด้านหลัง แล้วเด็กหันกลับมาก็แปลว่าหูได้ยิน) และทำกิจกรรมอื่น ได้เหมือนเด็กปกติ
เด็กจะพูดได้เองแน่นอน เด็กบางคนพูดได้ช้า ตามธรรมชาติของเขา เราไม่ควรใจร้อนนัก แต่ต้องพยายามหาโอกาส ให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน อย่างอิสระบ่อยๆ

เด็กสมัยก่อนและเด็กในชนบท ได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน เพื่อเผาผลาญพลังงานในกาย แต่เด็กในเมืองสมัยนี้ ต้องหาทางใช้พลังงานนั้นภายในบ้าน

บ้านก็แคบกว่าเมื่อก่อน ถ้าอยู่ห้องแถวหรือทาวน์เฮาส์ ยิ่งไม่มีที่เล่นนอกบ้านเลย เด็กต้องการใช้พลังงาน จึงลากเก้าอี้มาต่อเล่นบ้าง ปีนป่ายบันไดบ้าง ปีนตู้ หรือชั้นหนังสือบ้าง

เมื่อเด็กเล่นผาดโผนเช่นนี้ ผู้ใหญ่ก็ว่า “นี่เดี๋ยวเก้าอี้พังหมด” “อย่ารื้อของเลอะเทอะซีลูก” “วิ่งเล่นในบ้านไม่ได้นะ”ฯลฯ เมื่อเด็กถูกห้าม และหมดโอกาสที่จะใช้พลังงานส่วนเกิน จึงหันมา “ต่อต้าน” พ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้าน

การที่เด็กโกรธ แกจะร้องไห้อาละวาด หรือขว้างปาสิ่งของนั้น ไม่ใช่เพราะเด็กเกลียดแม่ แต่เพราะเด็กทนอยู่เฉยๆไม่ได้เท่านั้นเอง และมีเด็กบางคนที่ใช้ วิธีระบายอารมณ์ ด้วยการเล่นอวัยวะเพศ

เด็กวัย 2 ขวบขึ้นไป ควรมีโอกาสได้เล่นกับเพื่อนอย่างอิสระ ในที่กว้าง และมีเครื่องเล่นตามสมควร เด็กที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านร้าง ท่ามกลางคลื่นรถยนต์นั้น จะไม่มีโอกาสเรียนรู้วิธีอยู่ในสังคม ด้วยความรอมชอม

สังคมเมืองจึงจำเป็น ต้องมีสถานเลี้ยงเด็ก เพื่อให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนจำนวนมาก

สถานเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาลในเมือง มักจะคับแคบ เด็กถูกบังคับให้อยู่แต่ในห้อง เพราะผู้เลี้ยงเกรงว่า ถ้าเกิดอันตรายขึ้นแก่เด็กจะทำให้เสียชื่อเสียง

สนามเด็กเล่นส่วนใหญ่ มีเอาไว้ประดับโรงเรียนเท่านั้น เด็กไม่ค่อยได้ออกไปวิ่งเล่น โลดโผนโจนทะยานกันเลย เมื่อถูกอัดให้อยู่แต่ในห้อง พลังงานของเด็กจะถูกอัด อยู่ในร่างกายไม่มีโอกาสระบายออก

อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าการเลี้ยงดูเด็ก ในครอบครัวนั้น ด้อยคุณภาพกว่าการเลี้ยงรวมหมู่ เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ ถึงการอยู่ร่วมกับญาติพี่น้องด้วย

นอกจากนั้นเด็กต้องรู้จักอดทน ต่อความเหงา เมื่ออยู่เพียงคนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่น มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็น คนที่ติดคนอื่นแจ จนขาดความเป็นตัวของตัวเอง

การเลี้ยงดูอบรมเด็กจึงต้อง อาศัยทั้งครอบครัวและการอยู่รวมหมู่ แม้ว่าการเลี้ยงดูในครอบครัว จะไม่ช่วยให้เด็กรู้จักวิธีอยู่เป็นกลุ่ม แต่ก็สามารถสอนให้เด็กรู้จักเล่นคนเดียวได้

เมื่อเด็กอายุเกิน2ขวบ ควรสอนให้เด็กรู้จักเล่นคนเดียว เด็กวัยนี้ไม่ใช้มือกำดินสอเทียนแล้ว แต่จะใช้ปลายนิ้วจับเอาไว้ รู้จักต่อแท่งไม้สูงๆ รู้จักใช้เสียมเล็กๆขุดดิน แม่ควรคิดหาทางใช้ความสามารถ เหล่านี้ของเด็กและหัดให้เล่นคนเดียว

สำหรับเด็กผู้หญิงที่ชอบตุ๊กตา ก็ซื้อตุ๊กตาและชุดหม้อข้าวหม้อแกง หรือชุดเครื่องเรือนให้ และปล่อยให้เล่นคนเดียว ซึ่งมองเห็นแม่ได้

เมื่อเด็กวาดมโนภาพเก่งขึ้นจะ หมกหมุ่นอยู่กับการเล่น จนไม่สนใจแม่ว่าจะอยู่ด้วยหรือไม่ แม้ว่าสนามที่บ้านจะเล็ก มีที่ว่างเพียงวาเดียว ก็น่าจะสร้างสนามทราย ไว้เป็นที่เล่นของเด็ก ที่จะขนของเล่นไปเล่นคนเดียวที่นั่น

สำหรับเด็กที่ชอบหนังสือ ก็ซื้อหนังสือให้ แกจะเปิดดูภาพในหนังสือเพลินทีเดียว

เด็กที่ชอบเขียนภาพ ควรหาสีเทียนและกระดาษแผ่นใหญ่ๆ ให้แกขีดเขียนไปพลาง พูดพร่ำพรรณาไปเรื่อย ควรให้กระดาษแผ่นใหญ่ๆ เพราะถ้ากระดาษไม่พอ เด็กจะขีดพื้นขีดผนังบ้าน

วันไหนอากาศร้อน การให้เล่นน้ำจะดีที่สุด เวลาซื้อสระน้ำพลาสติก ไม่ควรเลือกขนาดใหญ่และลึกเกินไป เพราะถ้าเด็กล้มในน้ำแล้วอาจลุกไม่ขึ้น นอกจากนี้ ยังเสียเวลาใส่น้ำเทน้ำอีกด้วย

ถ้าแม่ไม่กลัวว่า เสื้อผ้าเด็กจะเปื้อนเปรอเลอะเทอะ ก็หาดินเหนียวมาให้เล่น
เด็กจะชอบมากและเล่นอยู่ได้นาน

เด็กที่ชอบดนตรีน่าจะเปิดเพลงให้ฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิค ลูกทุ่ง ลูกกรุง หรือเพลงแจ๊ส เพลงรำวงก็เพลงเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรปล่อยให้เด็ก เล่นอยู่แต่ในบ้านทั้งวันด้วย การเล่นต่างๆดังกล่าวข้างต้น

พัฒนาการทางร่างกาย ของเด็กวัยนี้ก้าวหน้าเร็วมาก วิ่งเร็วขึ้น และหกล้มน้อยลง เดินด้วยเท้าเปล่าได้ เด็กบางคนสามารถเดินบนท่อนไม้เดียว ที่วางพาดข้ามคูคลองได้ตั้งแต่อายุ3ขวบ และเล่นชิงช้างเองได้โดยไม่กลัว แต่เราต้องไม่ลืมว่า เด็กแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน

เด็กวัยนี้สนใจที่จะเล่นกับของเล่นใหญ่ๆ หรือใช้พลังงานในร่างกาย พ่อแม่จะมักซื้อจักรยานสามล้อให้ขี่เล่น แต่การเล่นนอกบ้าน ควรมีเพื่อนเล่นด้วยจึงจะสนุก

ถ้าเด็กยังไม่ไปสถานเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียนอนุบาล เด็กควรมีโอกาสได้เล่นนอกบ้าน กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ในสถานที่ที่ปลอดภัยอย่างน้อยวันละครั้ง ประมาณ3-4ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายของเด็กแข็งแรง

เด็กวัย2ขวบบางคนไม่นอนกลางวันเลย โดยเฉพาะเด็กซน มักเล่นสนุกเพลิดเพลินจนลืมนอน เด็กแบบนี้สมควรบังคับให้นอน หรือไม่ต้องสังเกตเปรียบเทียบเอาว่า

ถ้าแกไม่นอนจะเกิดปัญหา สัปหงกตอนเย็นจนกินข้าวไม่ทันหรือไม่ แต่หน้าร้อน ควรให้เด็กนอนกลางวันบ้าง มิฉะนั้นจะเหนื่อยเกินไป และตัวเด็กเองก็คงอยากนอนด้วย

เด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ จะนอนรวดเดียวในตอนกลางคืน ตั้งแต่2ทุ่มครึ่ง ถึง7โมงเช้า แต่เด็กบางคนก็ชอบดึก นอน4ทุ่ม ตื่น9โมงเช้า

ถ้าพ่อแม่ไม่เดือดร้อน เรื่องเวลานอนของเด็ก ก็ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติ

การให้อาหารเด็ก อย่าคำนึงถึงแต่ด้านโภชนาการ ควรหัดให้เด็กพึ่งตนเอง และยินดีตักกินเอง

การจับเด็กนั่งโต๊ะ และมีแม่คอยป้อนใส่ปากให้ทุกคำ หรือพาเดินเที่ยวเล่นไปพลางป้อนข้าวไปล่างนั้นไม่ควรทำ ความสุขในการกินคือความอยากกินด้วยตนเอง (ไม่ใช่ถูกบังคับ) และความสุขในการร่วมวงกับครอบครัว ซึ่งเป็นความสุขอย่างหนึ่งชีวิตมนุษย์

พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่า เลี้ยงให้เด็กมีความสุข ดีกว่าเลี้ยงให้เด็กอ้วน

เด็กที่เคยอ้วนตัวกลมสมัยก่อน เมื่อเติบโตถึงวัยนี้จะยืดสูงขึ้น แต่น้ำหนักตัวกลับไม่ค่อยเพิ่ม เด็กจึงดูผอมลง แม่อาจพยายามบังคับให้ลูกกินมากขึ้น ด้วยความเป็นห่วง

ถ้าแม่นั่งป้อนมือหนึ่งเป็นชั่วโมงทุกวัน เด็กคงกินได้มากกว่า เวลากินด้วยตนเองแน่นอน น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่แคลอรีส่วนที่เกินนี้ จะกลายเป็นไขมันอยู่ใต้ผิวหนัง ในทางโภชนาการ

เด็กที่ไม่ค่อยกินข้าว ก็ให้กินนมช่วยได้ ถ้าคิดในทางกลับกันคือ กลัวว่าเด็กกินนมแล้วจะไม่กินข้าว จึงงดนมทั้งหมดให้กินแต่ข้าว กลับมีผลลบในทางโภชนาการ

เด็กอายุ2-3ขวบ ควรดื่มนมวันละ2-3ขวด และให้กินขนมบ้างพอควร แต่ถ้าเด็กไม่อยากกินขนม ก็ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดให้กิน

มีเด็กจำนวนมากที่ไม่ยอมกินผัก เมื่อพยายามหาทางต่างๆแล้ว แต่เด็กยังไม่ยอมกิน ก็ต้องให้กินผลไม้แทนไปพลางก่อน

เด็กอายุ 2-3 ขวบนี้ สามารถบอกฉี่ได้แล้ว แต่ยังมีหลายครั้งที่เด็กเล่นเพลิน จนบอกไม่ทัน จึงทำให้เลอะเทอะ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเด็กไม่รู้สึกตัว แต่เป็นเพราะเด็กยังถอดกางเกงไม่เก่งจึงไม่ทัน

ดังนั้นแทนที่แม่จะดุว่าเด็ก “รีบบอกเร็วๆหน่อยซิจ๊ะ” ควรสอนวิธีถอดเสื้อผ้าให้ลุกดีกว่า

เด็กวัยนี้ถ้าเราถอดกระดุมให้ก่อนอาบน้ำ เด็กจะถอดเสื้อผ้าเองได้ หรือแม้แต่กระดุม ถ้าเราค่อยๆสอนให้เด็ก หัดถอดทีละเม็ดๆแกก็ทำได้ ใส่รองเท้าเองได้

ก่อนนอนกลางคืน หากแม่พาไปฉี่ให้เรียบร้อยเสียก่อน มีเด็กจำนวนไม่น้อย ที่อยู่ได้ถึงเช้าโดยไม่ฉี่รดที่นอน นอกจากเวลาอากาศหนาว หรือดื่มนมก่อนนอนเด็กจะทนไม่ไหว

เด็กผู้ชายฉี่รดที่นอนบ่อยกว่าเด็กผู้หญิง สำหรับเด็กวัย2-3ขวบนี้ ประมาณ1ใน10ที่ยังฉี่รดที่นอน

เด็กวัย2-3ขวบเล่นกับเพื่อนมากขึ้น จึงติดโรคต่างๆมามากขึ้น เช่น หัดเยอรมัน อีสุกอีใส คางทูม ฯลฯ เมื่อเด็กมีไข้สูงกระทันหันและเกิดอาการชัก ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไวรัสของไข้หวัด

อาการอาเจียนเป็นระยะ เนื่องจากเหนื่อยเกินไป ก็เกิดขึ้นบ่อยในวัยนี้ เด็กที่เคยเป็นผื่นแพ้ง่ายในวัยทารก และมีเสียงครืดคราดอยู่ในอกเสมอ จะถูกหาว่าเป็น “โรคหืดในเด็ก” ได้ง่าย ขอให้พ่อแม่ทำใจให้มั่นคงเอาไว้ และพยายามช่วยให้ลูก รอดพ้นจากคำกล่าวหานี้ ด้วยการไม่ต้องพาไปฉีดยาประจำ

ที่มา : สารานุกรมการเลี้ยงดูเด็ก
ผู้เขียน นายแพทย์ มิชิโอะ มัตสุดะ
แปลและเรียบเรียงโดย พรอนงค์ นิยมค้า
โดย สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน

เรียบเรียงโดย ทีมงานพัฒนาการเด็ก

ถ้าเห็นว่าบทความนี้ดีมีประโยชน์กรุณาช่วยบอกต่อด้วยนะคะ
URL: www.พัฒนาการเด็ก.com/2016/01/2-3years.html

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

 

Copyright © 2011 - 2016 พัฒนาการเด็ก ส่งเสริมพัฒนาการเด็ก เลี้ยงลูกรักให้มีความสุขสมวัย