|
พัฒนาการลูกรัก ♥ ช้าไม่ได้ อ่านเลยนะคะ ถ้าเห็นว่าเว็บไซต์นี้ดีมีประโยชน์ โปรดช่วยบอกต่อ |
ทำอย่างไร? เมื่อพี่น้องอิจฉา หรือชอบทะเลาะกัน...
ทำอย่างไร? เมื่อพี่น้องอิจฉา หรือชอบทะเลาะกัน...
โดย ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิปดี
อีกความสุขของคุณพ่อคุณแม่ ก็คือ ได้เห็นลูกๆรัก-สามัคคี และเอื้ออาทรกัน แต่ในความเป็นจริง เรื่องของความอิจฉาริษยา และการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ได้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังของหลายๆครอบครัว สร้างความกลุ้มอกกลุ้มใจให้แก่คุณพ่อคุณแม่ ที่เห็นพี่น้องคลานตามกันมา ต้องกลายเป็นคู่อริที่ชิงชัง และจ้องทำร้ายกันตั้งแต่เล็ก...จนเติบใหญ่
สาเหตุแห่งความริษยา การทะเลาะเบาะแว้ง และการแก้ไข
1 ) ลูกคนแรกมักเกิดความรู้สึกหวั่นไหวไม่มั่นคงในทันที ที่แม่คลอดน้องและพามาที่บ้านในวันแรก ยิ่งเห็นกับตาว่าพ่อแม่ดูจะเอาใจใส่เจ้าน้องคนใหม่มากมายเป็นพิเศษ (ทั้งที่เป็นการดูแลเด็กอ่อนตามปกติ) ลูกคนแรกมักจะเอาแต่คิดวนเวียนอยู่เสมอว่า น้องคนใหม่จะมาแย่งความรักจากเขาไป
ดังนั้น นับตั้งแต่ที่แน่ใจแล้วว่า กำลังจะมีบุตรอีกคน ก็ควรจะเตรียมหาวิธีถนอมจิตใจลูกคนโตไว้แต่เนิ่น ๆ เพียงความมั่นใจว่า ถึงอย่างไรเราก็รักลูกเท่าเทียมกันอยู่แล้วนั้น อาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะในความรู้สึกของเด็ก ๆ นั้น หวั่นไหวและจริงจังมากกว่าที่เราคาดคิดยิ่งนัก
การป้องกันก็คือ
1.1 บอกข่าวการมีน้องใหม่ให้เขาล่วงรู้แต่เนิ่นๆ บอกเขาว่าแม่กำลังจะมีน้อง เพื่อให้เป็นเพื่อนของหนู แล้วให้เขาได้สัมผัสท้องของคุณแม่บ่อย ๆ เพื่อรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง และความเคลื่อนไหวของน้อง
1.2 พาลูกไปด้วยกันในยามที่คุณแม่ต้องไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล เพื่อให้เขาได้พบได้คุยกับคุณหมอ และให้ได้เห็นเด็กทารกเพิ่งคลอดในห้องพักเด็ก
1.3 ชวนเขาไปช็อปปิ้ง เพื่อเขามีโอกาสเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นสำหรับน้อง เช่น เปลเด็ก ผ้าอ้อม ขวดนม ฯลฯ
1.4 ให้ลูกได้รู้จักการเล่นกับเด็กอื่น ๆ บ้าง เช่น ลูก ๆ ของเพื่อนบ้าน หรือพาเขาไปเล่นกับหลาน ๆ ในวัยไล่เลี่ยกันที่บ้านญาติ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กรู้จักปรับตัว และค่อย ๆ สร้างความผูกพันกับน้องใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลก
2) เมื่อน้องคลอดแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในทารกแรกเกิด มักทำให้คุณพ่อคุณแม่หันมาทุ่มเทเอาใจใส่เจ้าตัวเล็ก กระทั่งอาจละเลยความรู้สึกของเจ้าคนโตโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งทำให้ลูกขุ่นเคือง และน้อยอกน้อยใจ จนอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดอคติต่อน้องของตน และเกิดความริษยา จนทะเลาะรังแกกันอย่างไม่สิ้นสุด
คุณพ่อคุณแม่จึงควรหันกลับไปเอาใจใส่ลูกคนโตให้มากขึ้น แล้วค่อย ๆ ตะล่อมให้เขามีส่วนร่วมในการดูแลน้อง เช่น เวลาที่คุณแม่ทำอาหาร หรืออาบน้ำให้น้องก็ชวนเขามาอยู่ใกล้ ๆ เพื่อคอยช่วยเหลือคุณแม่ด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ควรเป็นไปในเชิงบังคับ มิฉะนั้นจะสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีแก่เด็กตั้งแต่เริ่มต้น จึงควรค่อย ๆ กล่อมเกลาชี้ชวน เพราะจริง ๆ แล้ว เด็กเองก็แอบเห่อน้องใหม่ไม่แพ้คุณพ่อคุณแม่เหมือนกัน
แม้เราจะพอยิ้มออก ที่เจ้าลูกคนโตเริ่มคุ้นเคยเอาใจใส่น้องน้อยอย่างน่าปลื้มใจ แต่ก็ใช่ว่า ตลอดระยะเวลาที่ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน จะไม่มีการขัดใจหรือทะเลาะกันเสียเลยเพราะธรรมชาติความเป็นเด็กของพวกเขา ที่ยังเจ้าอารมณ์
และยังขาดทักษะการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าใจ(และทำใจ) ไม่ต้องซีเรียสจนเกินไป
2.1 หากพวกเขามีการอีลุ๊บตุ๊บตั๊บลงมือลงไม้กันบ้าง เราก็เพียงแต่จับพวกเขาแยกกันก่อน แล้วบอกว่า “พ่อแม่ไม่ชอบที่ลูก ๆ ทะเลาะกันหรือตีกัน ถ้าลูกโกรธกันก็ต้องเลิกเล่นชั่วคราว ต่างคนต่างอยู่ รอให้อารมณ์ดีกันทั้งคู่แล้วค่อยมาเล่นกันใหม่”
2.2 หากต่างคนก็ต่างเข้ามาฟ้อง และโทษกันไปมาอุตลุด เราก็ควรรับฟังไว้อย่างสงบ โดยไม่ต้องดุด่าโวยวาย และไม่ต้องตัดสินถูกผิดชี้โทษคนใดคนหนึ่ง แต่ควรพูดให้เป็นกลาง ๆ เข้าไว้ โดยเน้นที่การแบ่งกัน การให้อภัยและการปรองดองต่อกัน
2.3 หากลูกของเรามีวัยไล่เลี่ยกัน ถ้าวันหนึ่งเจ้าคนโตถึงกับหัวฟัดหัวเหวี่ยง เพราะโกรธน้องอย่างสุดๆ ตั้งท่าจะตีน้องซะให้ได้ เราควรจะให้เขาได้ระบายความโกรธในทางที่ปลอดภัย เช่น ให้เขาหันมาตีตุ๊กตานุ่ม ๆ แทน หากลูกโตอีกหน่อย การหันมาตีกลอง หรือต่อยเตะกระสอบทราย จนกว่าจะเหนื่อย ก็จะช่วยให้ความโกรธเบาบางลง
3) เชื่อหรือไม่ว่า ปัญหาลูกๆริษยา ชิงชังและทะเลาะกันอย่างไม่จบสิ้นนั้น มักเกิดจาก การที่คุณพ่อคุณแม่เอาจริงเอาจัง (ในเรื่องที่ลูกชอบทะเลาะกัน) จนเกินไป หนำซ้ำยังมีการลงโทษลูกอย่างรุนแรง ทั้งเฆี่ยนตีและด่าทอ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการกระตุ้นพฤติกรรมก้าวร้าวให้เกิดขึ้นอย่างซ้ำ ๆ และเร้าให้พวกเขาเกิดอารมณ์รุนแรงขึ้น ทั้งโกรธทั้งน้อยอกน้อยใจ ทั้งโทษกันไป ๆ มา ๆ แถมยังอาจถึงกับผูกใจเจ็บ คิดแก้แค้นอีกฝาย
3.1) หาเกม กิจกรรม หรือกีฬาที่จะได้ทำร่วมกัน แต่ต้องไม่ออกไปในเชิงแข่งขัน แต่เน้นที่ส่งเสริมความร่วมมือร่วมใจกัน ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยกัน เช่น กีฬาตระกร้อลอดบ่วง (หรือกีฬาอื่น ๆ ที่พี่น้องอยู่ในทีมเดียวกัน) การเล่นวิ่งกระต่าย 3 ขา วิ่งกระสอบ ฯลฯ ที่หากได้รับชัยชนะก็แสดงความยินดี และภูมิใจร่วมกัน แต่หากว่าแพ้ก็จะได้เห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจกัน
3.2) เมื่อพี่น้องทะเลาะกันตีกัน เราอาจเรียกลูกเข้ามาหาเราทีละคน แล้วให้เขาระบายความโกรธ ความไม่พอใจได้อย่างเต็มที่ โดยเรารับฟังลูกอย่างสงบ แล้วรอให้เขาได้ระบายจนจบ (หรือเหนื่อย) เราจึงอาจสรุปว่า หนูโกรธน้อง (พี่) แม่เข้าใจ คนเราโกรธกันได้ แต่แม่ไม่อยากให้หนูด่าว่าน้อง (พี่) อย่างรุนแรงหรือหยาบคาย หากหนูต้องการให้น้อง (พี่) ทำ หรือไม่ให้ทำอะไร ก็ควรพูดกับเขาดีๆ แต่ถ้าหนูรู้สึกโกรธมาก ๆ ก็สามารถมาคุยมาระบายกับคุณแม่ได้เสมอ
คุณพ่อคุณแม่ โปรดรับฟังลูกด้วยความเข้าใจและสงบ แล้วพูดกับลูกไปในทางสร้างสรรค์ โดยให้มีความเมตตา-แบ่งปัน ปรองดองสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กๆ เห็น
เรียบเรียงโดย : ทีมงานพัฒนาการเด็ก
URL : www.พัฒนาการเด็ก.com/2016/01/fight.html
โดย ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิปดี
อีกความสุขของคุณพ่อคุณแม่ ก็คือ ได้เห็นลูกๆรัก-สามัคคี และเอื้ออาทรกัน แต่ในความเป็นจริง เรื่องของความอิจฉาริษยา และการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ได้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังของหลายๆครอบครัว สร้างความกลุ้มอกกลุ้มใจให้แก่คุณพ่อคุณแม่ ที่เห็นพี่น้องคลานตามกันมา ต้องกลายเป็นคู่อริที่ชิงชัง และจ้องทำร้ายกันตั้งแต่เล็ก...จนเติบใหญ่
สาเหตุแห่งความริษยา การทะเลาะเบาะแว้ง และการแก้ไข
1 ) ลูกคนแรกมักเกิดความรู้สึกหวั่นไหวไม่มั่นคงในทันที ที่แม่คลอดน้องและพามาที่บ้านในวันแรก ยิ่งเห็นกับตาว่าพ่อแม่ดูจะเอาใจใส่เจ้าน้องคนใหม่มากมายเป็นพิเศษ (ทั้งที่เป็นการดูแลเด็กอ่อนตามปกติ) ลูกคนแรกมักจะเอาแต่คิดวนเวียนอยู่เสมอว่า น้องคนใหม่จะมาแย่งความรักจากเขาไป
ดังนั้น นับตั้งแต่ที่แน่ใจแล้วว่า กำลังจะมีบุตรอีกคน ก็ควรจะเตรียมหาวิธีถนอมจิตใจลูกคนโตไว้แต่เนิ่น ๆ เพียงความมั่นใจว่า ถึงอย่างไรเราก็รักลูกเท่าเทียมกันอยู่แล้วนั้น อาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะในความรู้สึกของเด็ก ๆ นั้น หวั่นไหวและจริงจังมากกว่าที่เราคาดคิดยิ่งนัก
การป้องกันก็คือ
1.1 บอกข่าวการมีน้องใหม่ให้เขาล่วงรู้แต่เนิ่นๆ บอกเขาว่าแม่กำลังจะมีน้อง เพื่อให้เป็นเพื่อนของหนู แล้วให้เขาได้สัมผัสท้องของคุณแม่บ่อย ๆ เพื่อรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง และความเคลื่อนไหวของน้อง
1.2 พาลูกไปด้วยกันในยามที่คุณแม่ต้องไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล เพื่อให้เขาได้พบได้คุยกับคุณหมอ และให้ได้เห็นเด็กทารกเพิ่งคลอดในห้องพักเด็ก
1.3 ชวนเขาไปช็อปปิ้ง เพื่อเขามีโอกาสเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นสำหรับน้อง เช่น เปลเด็ก ผ้าอ้อม ขวดนม ฯลฯ
1.4 ให้ลูกได้รู้จักการเล่นกับเด็กอื่น ๆ บ้าง เช่น ลูก ๆ ของเพื่อนบ้าน หรือพาเขาไปเล่นกับหลาน ๆ ในวัยไล่เลี่ยกันที่บ้านญาติ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กรู้จักปรับตัว และค่อย ๆ สร้างความผูกพันกับน้องใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลก
2) เมื่อน้องคลอดแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในทารกแรกเกิด มักทำให้คุณพ่อคุณแม่หันมาทุ่มเทเอาใจใส่เจ้าตัวเล็ก กระทั่งอาจละเลยความรู้สึกของเจ้าคนโตโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งทำให้ลูกขุ่นเคือง และน้อยอกน้อยใจ จนอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดอคติต่อน้องของตน และเกิดความริษยา จนทะเลาะรังแกกันอย่างไม่สิ้นสุด
คุณพ่อคุณแม่จึงควรหันกลับไปเอาใจใส่ลูกคนโตให้มากขึ้น แล้วค่อย ๆ ตะล่อมให้เขามีส่วนร่วมในการดูแลน้อง เช่น เวลาที่คุณแม่ทำอาหาร หรืออาบน้ำให้น้องก็ชวนเขามาอยู่ใกล้ ๆ เพื่อคอยช่วยเหลือคุณแม่ด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ควรเป็นไปในเชิงบังคับ มิฉะนั้นจะสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีแก่เด็กตั้งแต่เริ่มต้น จึงควรค่อย ๆ กล่อมเกลาชี้ชวน เพราะจริง ๆ แล้ว เด็กเองก็แอบเห่อน้องใหม่ไม่แพ้คุณพ่อคุณแม่เหมือนกัน
แม้เราจะพอยิ้มออก ที่เจ้าลูกคนโตเริ่มคุ้นเคยเอาใจใส่น้องน้อยอย่างน่าปลื้มใจ แต่ก็ใช่ว่า ตลอดระยะเวลาที่ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน จะไม่มีการขัดใจหรือทะเลาะกันเสียเลยเพราะธรรมชาติความเป็นเด็กของพวกเขา ที่ยังเจ้าอารมณ์
และยังขาดทักษะการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าใจ(และทำใจ) ไม่ต้องซีเรียสจนเกินไป
2.1 หากพวกเขามีการอีลุ๊บตุ๊บตั๊บลงมือลงไม้กันบ้าง เราก็เพียงแต่จับพวกเขาแยกกันก่อน แล้วบอกว่า “พ่อแม่ไม่ชอบที่ลูก ๆ ทะเลาะกันหรือตีกัน ถ้าลูกโกรธกันก็ต้องเลิกเล่นชั่วคราว ต่างคนต่างอยู่ รอให้อารมณ์ดีกันทั้งคู่แล้วค่อยมาเล่นกันใหม่”
2.2 หากต่างคนก็ต่างเข้ามาฟ้อง และโทษกันไปมาอุตลุด เราก็ควรรับฟังไว้อย่างสงบ โดยไม่ต้องดุด่าโวยวาย และไม่ต้องตัดสินถูกผิดชี้โทษคนใดคนหนึ่ง แต่ควรพูดให้เป็นกลาง ๆ เข้าไว้ โดยเน้นที่การแบ่งกัน การให้อภัยและการปรองดองต่อกัน
2.3 หากลูกของเรามีวัยไล่เลี่ยกัน ถ้าวันหนึ่งเจ้าคนโตถึงกับหัวฟัดหัวเหวี่ยง เพราะโกรธน้องอย่างสุดๆ ตั้งท่าจะตีน้องซะให้ได้ เราควรจะให้เขาได้ระบายความโกรธในทางที่ปลอดภัย เช่น ให้เขาหันมาตีตุ๊กตานุ่ม ๆ แทน หากลูกโตอีกหน่อย การหันมาตีกลอง หรือต่อยเตะกระสอบทราย จนกว่าจะเหนื่อย ก็จะช่วยให้ความโกรธเบาบางลง
3) เชื่อหรือไม่ว่า ปัญหาลูกๆริษยา ชิงชังและทะเลาะกันอย่างไม่จบสิ้นนั้น มักเกิดจาก การที่คุณพ่อคุณแม่เอาจริงเอาจัง (ในเรื่องที่ลูกชอบทะเลาะกัน) จนเกินไป หนำซ้ำยังมีการลงโทษลูกอย่างรุนแรง ทั้งเฆี่ยนตีและด่าทอ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการกระตุ้นพฤติกรรมก้าวร้าวให้เกิดขึ้นอย่างซ้ำ ๆ และเร้าให้พวกเขาเกิดอารมณ์รุนแรงขึ้น ทั้งโกรธทั้งน้อยอกน้อยใจ ทั้งโทษกันไป ๆ มา ๆ แถมยังอาจถึงกับผูกใจเจ็บ คิดแก้แค้นอีกฝาย
3.1) หาเกม กิจกรรม หรือกีฬาที่จะได้ทำร่วมกัน แต่ต้องไม่ออกไปในเชิงแข่งขัน แต่เน้นที่ส่งเสริมความร่วมมือร่วมใจกัน ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยกัน เช่น กีฬาตระกร้อลอดบ่วง (หรือกีฬาอื่น ๆ ที่พี่น้องอยู่ในทีมเดียวกัน) การเล่นวิ่งกระต่าย 3 ขา วิ่งกระสอบ ฯลฯ ที่หากได้รับชัยชนะก็แสดงความยินดี และภูมิใจร่วมกัน แต่หากว่าแพ้ก็จะได้เห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจกัน
3.2) เมื่อพี่น้องทะเลาะกันตีกัน เราอาจเรียกลูกเข้ามาหาเราทีละคน แล้วให้เขาระบายความโกรธ ความไม่พอใจได้อย่างเต็มที่ โดยเรารับฟังลูกอย่างสงบ แล้วรอให้เขาได้ระบายจนจบ (หรือเหนื่อย) เราจึงอาจสรุปว่า หนูโกรธน้อง (พี่) แม่เข้าใจ คนเราโกรธกันได้ แต่แม่ไม่อยากให้หนูด่าว่าน้อง (พี่) อย่างรุนแรงหรือหยาบคาย หากหนูต้องการให้น้อง (พี่) ทำ หรือไม่ให้ทำอะไร ก็ควรพูดกับเขาดีๆ แต่ถ้าหนูรู้สึกโกรธมาก ๆ ก็สามารถมาคุยมาระบายกับคุณแม่ได้เสมอ
คุณพ่อคุณแม่ โปรดรับฟังลูกด้วยความเข้าใจและสงบ แล้วพูดกับลูกไปในทางสร้างสรรค์ โดยให้มีความเมตตา-แบ่งปัน ปรองดองสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กๆ เห็น
เรียบเรียงโดย : ทีมงานพัฒนาการเด็ก
URL : www.พัฒนาการเด็ก.com/2016/01/fight.html
Categories
ลูกชอบทะเลาะกัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 comments:
ลูกชาย ชอบทะเลาะกัน
แสดงความคิดเห็น